จาก http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=20&t=44506&start=30
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
ตอนเริ่มลงทุนจริงจังใหม่ๆ เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ รู้สึกได้ว่ามันไม่น่าจะยาก แต่พอมาเจอวิกฤตซับพาร์มก็เลยความคิดเปลี่ยนว่า จริงๆ แล้วมันไม่ง่ายเลยในระยะยาว
ยากมั้ยครับ ที่จะทำให้ได้ 25 % ต่อเนื่องในระยะยาว
ผมมองดูแล้วว่ามันไม่ง่ายเลย ลองคำนวนกันตามนี้นะครับ
คือถ้ามีเงินเริ่มต้น 1 ล้าน ลงทุน 30 ปี ก็จะได้ 1000 ล้าน
หากมีเงินเริ่มต้น 10 ล้าน ลงทุน 20 ปี ก็จะได้ 1000 ล้าน
หากลงทุน 100 ล้าน ลงทุน 10 ปี ก็จะได้ 1000 ล้าน
คือพอร์ตของคุณควรเพิ่ม 10 เท่าในทุก 10 ปี ถ้าจะรับผลตอบแทนระดับนี้
และถ้าจะให้ถือหุ้นตัวเดียว และถือไว้เรื่อยๆ 30 ปี และหวังว่าจะให้มันขึ้นเป็น1000 เท่านั้น โอกาสมันจะมีมากหรือ แล้ว หากผมถือซัก 3 -5 ตัวหล่ะ ทุกตัวต้องขึ้นเป็น 1000 เท่าผมถึงจะได้ผลตอบแทนระดับนี้ ดูเหมือนการถือหุ้นยาวระดับนี้ มันจะไม่เวิร์กเท่าไหร่นักในตลาดหุ้นบ้านเรา
หากผมมองสั้นลงมาในระยะซักภายใน 10 ปี และหวังว่าหุ้นที่เราถืออยู่นั้น มันขึ้นมาซัก 10 เท่า ดูเหมือนความเป็นไปได้จะมีมากขึ้น เราก็มีตัวอย่างให้เห็น เช่น PTT SCC ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่เราก็ต้องมองให้ออกอีก ว่า แนวโน้มผู้บริโภคเป็นไง กลยุทธ์ ความสามารถของบริษัทเป็นแบบไหน
และหากมองสั้นเข้ามาอีก ว่าใน 3 ปี หุ้นของเรา จะโตเป็นสองเท่า ถึงจะได้ปีละ 25% ต่อปี อันนี้ผมว่านักลงทุน ที่ขยันๆ ศึกษาบริษัทมากหน่อย น่าจะพอๆ หาบริษัทเหล่านี้ได้มากขึ้น
หากเรามองสั้น กว่านั้นคือระยะ ปีนึง และให้บริษัทมันโตขึ้นปีละ 25% อันนี้ดูเผินๆ เหมือนว่าจะง่ายแต่จริงๆ แล้วมันไม่ง่าย เพราะมันจะถูกอารมณ์ของตลาดที่บางช่วงหุ้นราคามันสูงไปมาก ทำให้กำไรที่เพิ่มมาราคาหุ้นก็ยังไม่ขึ้น หรือบางช่วงตลาดมันหดหู่มาก ต่อให้กำไรมากขึ้น ราคามันก็ไม่ขึ้น และที่สำคัญคือ คุณต้องทายถูกไปเรื่อยๆ 30 ปีเลย
ดังนั้นผมว่าเรามองในระยะ 3-5 ปีและขยันๆ หน่อยถือว่าอยู่ในวิสัยที่นักลงทุนวีไอทั่วไปทำได้ ผมลองสรุปหลักการแนว วีไอ ให้ได้ เป้าหมาย 25% ทบต้นต่อปี เป็นเวลา 30 ปี คือดังนี้ครับ
1 ซื้อตอนถูก ( เทียบกับราคาในอีก 3 ปี ต้องได้ ส่วนต่างบวกปันผล เป็น 100 % up และต้องลองเผื่อ PE ตอนนั้นให้ต่ำกว่าเดิมด้วยหากคุณซื้อมาตอนที่ตลาดคึกคัก จะได้เป็นการ Conservative )
2. ซื้อบริษัทที่เติบโตเท่านั้น โตอย่างน้อย 3 ปี ไม่ใช่โตแค่ปีนั้นปีเดียวนะครับ มันต้องต่อเนื่อง ในระดับ 25 - 30% ต่อปี ไปในอนาคตซัก 3 ปี โดยหาข้อมูลทั้งจาก ข่าว กลยุทธ์ของผบห ใน Oppday , Annual meeting และอื่นๆ
3. ถือหุ้นไม่กี่ตัว เรากระจายความเสี่ยง ในการที่เราเดาผิดเท่านั้น ซึ่งคุณอาจหาบริษัทในระดับนี้ ได้ช่วงหนึ่งๆ ไม่กี่ตัวเท่านั้น ก็ไม่ควรถือเยอะ ถ้าพอร์ตไม่ใหญ่มาก ผมว่าซัก 3 ตัวก็เกินพอแล้ว ที่สำคัญต้องมีแบคอัพแพลนด้วย จะได้มาแทนตอนเราคาดการณ์ผิด
4 ถือไปเรื่อยตราบใดที่มันยังโตอยู่ ไม่ใช้ราคาเป็นตัวตัดสินใจซื้อขาย ให้ใช้ผลประกอบการณ์ และแนวโน้มในอนาคตในการตัดสินใจเท่านั้น ขายเมื่อคุณมองไปในอนาคตแล้ว บริษัทเลิกโต จนทำให้ราคาที่ตอนนั้น มี Upside น้อยกว่าที่คุณอยากได้ ในอนาคต
5. หากมีเงินลงทุนจากเงินเดือนมาใหม่ ซื้อเพิ่มหาก คุณคำนวนตามข้อหนึ่งแล้ว อีก สามปี คุณได้เป็นร้อยเปอร์เซนต์ แต่ถ้าไม่ ก็ค่อยรอจนกว่าจะได้ราคาที่ได้ ก่อนค่อยซื้อ คุณอาจจะซื้อได้ก้อนใหญ่หากราคาลงไปมากทั้งๆ ที่แนวโน้มบริษัทยังดีเหมือนเดิมอยู่
คือผมลงทุนมาจริงจังซัก 4 ปีแล้ว นับตั้งแต่เริ่มทำงานหาเงินได้ เท่าที่ดู การเลือกหุ้นไม่ใช้ปัญหา ปัญหาของผมคือการขายหุ้นต่างหาก เพราะ ไม่สามารถทำตามข้อ 4 ได้
ซึ่ง 5 ข้อที่กล่าวมานี้ผมพยายามสังเคราะห์ออกมาเป็น แนวทางในจะเป็นการลงทุนในเฟสต่อไปของผมที่จะพยายามทำอย่างเคร่งครัด เพื่อเป้าหมาย 25% ทบต้นต่อปี ไม่รู้ว่าพอจะเป็นแนวในการลงทุนให้นักลงทุนหน้าใหม่ได้หรือป่าว พี่ๆ มีใครผ่านมา ช่วยคอมเมนต์ด้วยนะครับ
แย้งหน่อยคับ ถ้าได้25%ทบต้นระยะ ยาวคุณจะเปนตฎนานทันที พอร์ทยิ่งโตยิ่งgrowthน้อย หุ้นที่โต25-30% lynch บอกระยะยาวไม่มีความยั่งยืนด้วย
------------------------------------------------------------------------------------------------
อืมม ใช่แล้วครับ จริง ๆ แล้วข้อเสีย มันอาจจะอยู่ที่หุ้นที่เราเจอ บางครั้ง ขนาดของบริษัทมันไม่ค่อยใหญ่
ซึ่งก็จะเป็นปัญหาว่า เราซื้อจำนวนมากไม่ได้ หากพอร์ตของเรามีขนาดใหญ่แล้ว ( เช่น พอร์ตเรามี 100 ล้าน จะซื้อซัก 40 % ของพอร์ตมันก็ตั้ง 40 ล้านเข้าไปแล้ว หากซื้อบริษัทที่มี Mkt Cap 1000 ล้าน มันก็เป็น 4 % ของทั้งบริษัท แล้ว ) ซึ่งมีโอกาสทำให้ เราเองไปไล่ราคาจนมันแพงกว่าที่เราควรซื้อ แล้วเกิดดันไม่ดีจริง จะออกลำบากด้วย มันจึงทำให้เรามีข้อจำกัดในการเลือกมากขึ้น
แต่พอร์ตเล็กๆ ไม่เกิน 20 ล้าน น่าจะยังพอจัดการได้
หากหวังผลตอบแทนระดับนี้ ผมว่า ต้องเปลี่ยนตัวเล่น (ไม่ใช่เปลี่ยนทุกวัน ทุกเดือน หรือทุกปีนะ ดูในระยะ 3 -5 ปี ) เหมือนกันนะครับ ผมเชื่อว่า บริษัทที่เติบโตในอัตราเร่งขนาดนี้ สามารถทำได้ในระยะประมาณ เต็มที่ไม่เกิน 10 ปี (ส่วนใหญ่ มันมักน้อยกว่านั้น ) หลังจากนั้นมันก็จะนิ่ง อันนี้แล้วแต่ประเภทธุรกิจ และการแข่งขัน
แต่เราต้องมองให้ออกว่ามันเร่งเครื่องอยู่ และขายตอนที่มันดูท่าว่าจะเริ่มนิ่งแล้ว ( ย้ำอีกทีว่า ดูในระยะประมาณ 3 ปี และติดตามข้อมูลบริษัทอย่างสมำเสมอ ไม่ควรดูแค่งบการเงินอย่างเดียว เพราะเราต้องมองอนาคต งบแค่เอาไว้ตรวจการบ้านว่าเราวิเคราะห์ได้ถูกหรือไม่ )
------------------------------------------------------------------------------------------------
เห็นด้วยครับ วกกลับมาที่พื้นฐานที่ดร.นิเวศน์ เคยแนะไว้ว่าให้เลือกหุ้นโดยดูจากแนวโน้มธุรกิจในอนาคตก่อน แล้วค่อยมาจับงบการเงิน มิฉะนั้นท่านอาจจะถูกแสงเฮ้ากวงเข้าไปได้และจะโดนมนต์สะกดของงบการเงินเข้าให้ (ผมโพสประโยคนี้ซําแฮะ แต่คนละกระทู้)
------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมว่าอาจารย์นิเวศน์น่าจะมีพอร์ตโตขึ้นจากเดิมเกิน 100 เท่าตัวแล้วนะครับ ในระยะเวลาไม่ถึง 20 ปีแน่ๆ
------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้ dr. นิเวศน์ 1800 ล้าน แล้วครับ จำได้ว่าแกเคยตั้งความหวังไว้ว่า ก่อนตาย จะขอให้ได้ 1000 ล้่าน แต่ตอนนี้แกทำได้เกือบสองเท่าที่เคยหวังแล้วอะคับ สุดยอดจริงๆ
ผมชอบโหลด รายการของแกมาฟังย้อนหลัง รู้สึกแกเป็นคนมองอะไรได้ neutral มาก และเป็นคนฉลาด หัวไว ที่มองโลกในแง่ดีมาก
ที่สำคัญ แกมองอะไรขาดครับ อะไรที่แกพูดๆไว้ในอดีต มักจะเป็นอย่างที่แกทำนาย สุดยอด ครับ เป็นบุคคลที่ผมนับถือสุดหัวใจเลยตอนนี้
------------------------------------------------------------------------------------------------
25% เป็นเป้าหมายของผมเลยครับ
งั้นของ Share หลักการมั่วของผมนะครับ :oops:
ผมเอาเป้าหมายนี้มาใช้ในการ screen หุ้น
โดนมองหาหุ้น ที่ธุรกิจจะโตเป็น 2 เท่า ใน 4 ปีครับ
ด้วยเชื่อมั่นส่วนตัวที่ 80% ถึงจะซื้อลงทุน ในหุ้นนั้นครับ :lol:
คือได้กำไร Cap Gain ที่ 100% ส่วนระหว่างรอ ก็รับปันผลไป
Return ที่ 25% หาไม่ยากครับ (โดยเฉพาะช่วงวิกฤติ)
คือหุ้นที่ PE 4 เท่า โดยกำไรไม่ลด
ส่วน Growth เฉลี่ย ในระยะ 10-20 ปี จะสามารถแปลงมาเป็น % ได้
จากสูตร Gordon Growth (ประมาณโดยหยาบๆ)
เช่น ถ้าเราคาดว่ากำไรจะโตประมาณ 15% ในอีก 10-20 ปี ข้างหน้า
จะได้ Return ที่ 15%
ถ้าหุ้น PE 10 เท่า จะได้ Return 10% + Growth Return 15%=25%
เพราะ Model นี้ ทำให้ผมกล้าซื้อ CPALL ตอน PE30 เท่า เมื่อ 2 ปีก่อน
เพราะหากตัดเรื่องโลตัส PE จะเหลือ 15 เท่า หรือ return 6%
บวกคาดการณ์ Growth ที่ปีละ 20% รวมได้ Total Return ที่ 26%
เข้าเกณฑ์ มากกว่า 25% ครับ :P
------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่ ยกตัวอย่างทั้ง CPALL HMPRO นี้เพราะว่า สามปีที่ผ่านมากำไรสุทธิมันโตขึ้นมากมายครับ cpall น่าจะเกิน 60% ทบต้นต่อปี HMPRO เองก็ 25% ทบต้นต่อปี ดร เองมองได้ขาดมากๆ เลยครับ ที่ทุ่มเงินส่วนใหญ่ของพอร์ตมาที่สองตัวนี้ ซึ่งตอนนั้นพอร์ตของแกเองก็ไม่ใช่เล็กๆ แล้ว ทำให้มีข้อจำกัดในการเลือกหาไซด์ที่เหมาะสมในการลงทุน เชื่อได้ว่าแกไม่ได้มองแค่ สามปี ห้าปี แกคงมองยาวเป็นสิบปีเลยครับ ดูเหมือนว่า แกยอมจ่าย ให้กับหุ้นที่มี พีอีสูงๆ เฉพาะบริษัทที่มีการเติบโตสูงอย่างน่าตื่นเต้นเท่านั้น นะครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------
อ่านจากที่เสี่ียยักษ์บอก
ว่าเด๋วนี้เจ้าสัว เค้าเล่นหุ้น
ผมว่าเค้าปั่นหุ้นตัวเองอะคับ
ผมซื้อหุ้น ผมเชื่อตัวเองครับ ไม่เชื่อเสี่ยยักษ์ (แต่ขอยอมรับในความสามารถแก นะครับ แกเก๋าจริงๆ คนจริงด้วย)
แล้วก็ผมซื้อก่อนที่เสียแกจะให้สัมภาษณ์ก็หลายปี ต้นทุนผม 9.5 บาท
ตอนนี้ปันผลเกือบปีละบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
ผมคิดว่า แค่ปันผล ก็น่าจะคืนทุนใน 6-7 ปี (ไม่รวมปันผลก่อนหน้านี้)
ส่วนหุ้น CPF ผมไม่ครับ ยอมรับว่าตกรถ และก็ไม่ได้ตามข้อมูล
ส่วน Modern Trade Model บางท่านมองว่า พอมาทำอันนี้แล้ว คือปั่นหุ้น
แต่สำหรับผม มันคือความยั่งยืนครับ ไม่เชื่อลองวิเคราะห์อำนาจต่อรองด้านต่างๆดู :lol:
กระแสเงินสดก็แข็งแกร่ง Free Cash Flow สูงกว่า กำไนสุทธิอีก
แบบนี้ไม่เหนื่อยครับ การขยายสาขาก็ไม่ใช่เงินมาก ยิ่งเป็นแฟรนไช ยิ่งสบาย
ในขณะที่ค้าปลีกที่อื่น ต้องใช้เงินลงทุนสูง
ซึ่งจากต่าง 7-11 ที่ต่อให้จ่ายปันผล 100% ก็สามารถขยายสาขาได้โดยไม่ต้องกู้เงิน
Quote:
ส่วน หุ้นโตแบบ 25%
แบบยั่งยืน ผมยังชื่อ ปีเตอร์ ลินช์ ว่าไม่มี
ถ้าท่านหาได้ แอบบอกผมมั่งดิ
ใบ้หวย ผมขอแค่ ภายในสามสี่ปี ก็พอ
ยังไงรบกวน ชี้แนะเป็นความรู้ด้วยนะครับ
เห็นด้วยครับ ผมเลยมองแค่ 10-20 ปี
เพราะมองว่า 7-11 น่าจะเริ่มตันที่ 10,000 สาขา
หลังจากนั้น ก็จะกลายเป็น Cash Cow ไป
แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ผมก็ได้ปันผลคืนทุนไปหมดแล้ว
Quote:
ส่วนหนังสืออีกเล่ม
บอกว่าจากการศึกษา (ไม่รู้ใครศึกษา)
บอกว่า ในระยะยาว หุ้นคุณค่า (แบบ เกรแฮม มั้ง)
ชนะ หุ้น growth ทั้งหมด
แบบศึกษามาทั่วโลกแล้ว
ไม่ทราบครับ แต่ผมชอบแนวผสม ยอมซื้อแพงขึ้นมาหน่อย
แต่แลกกับ Growth มหาศาล
แต่ถ้า เป็น cyclical ก็ต้องรู้จังหวะ หุ้นก็ Growth ก็ถือตราบเท่าที่มันยังโต
หยุดโต ผมก็ไม่ดิ้นรนถือต่อ
ขอแค่ให้เข้าเกณฑ์ 25% ต่อปี ผมก็ซื้อลงทุนแล้วครับ
ซึ่งผลลัพท์ ก็ ok เพราะผมได้ผลตอบแทนเกิน 25% มาเกือบทุกปี ยกเว้นก็ตอน Subprime
แต่หลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว ผลตอบแทนก็กลับมาเข้ารูปเข้ารอย
ผลตอบแทน ก็ปีละ 100 กว่า% ติดกัน 2 ปี ชดเชยส่วนที่ขาดทุนไปตอนวิกฤติ :P
ผมว่าของแบบนี้ แล้วแต่มุมมองนะครับ ผมแค่ share แนวทางที่คิดว่าดี
และเป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริงๆ ซึ่งผมได้พิสูจน์กับตัวเองมาแล้ว
------------------------------------------------------------------------------------------------
ดีครับ มีความเห็นกันเยอะแยะ เชื่อว่าทุกคนพอลงทุนกันมาสักระยะแล้ว ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวทาง fine tune กันตามประสบการณ์ ที่เจอกันมา ตัวผมเองก็พยายามปรับเปลี่ยนไปเปลี่นยมาหลายรอบ ถือไปถือมาเรามองดูตัวเราว่า เราน่าจะเหมาะกับแบบไหนมากกว่า เลือกเอาอันที่เราทำผลงานได้ดีด้วยและตัวเราเองสบายใจด้วย ได้กะได้ทั้งสองต่อ
หลักการที่ผมเขียนเอาไว้ ส่วนหนึ่งคือเพื่อเตือนใจ ตัวผมเองครับ ว่าสุดท้ายแล้วเราต้องมีหลักอะไรยึด ไม่งั้นจะโดน ราคาหุ้นมาทำให้เราหวาดหวั่นใจได้โดยง่าย ซึ่งอันนี้ผมจะลองยึดหลักนี้อย่างจริงๆ จังๆ ดูว่ามันจะเป็นอย่างไร
------------------------------------------------------------------------------------------------
ส่วน หุ้นโตแบบ 25%
แบบยั่งยืน ผมยังชื่อ ปีเตอร์ ลินช์ ว่าไม่มี
ถ้าท่านหาได้ แอบบอกผมมั่งดิ
ใบ้หวย ผมขอแค่ ภายในสามสี่ปี ก็พอ
ยังไงรบกวน ชี้แนะเป็นความรู้ด้วยนะครับ
โต แบบยั่งยืนตลอดไปเลยคงไม่มี ซัก 10 - 20 ปี น่าจะพอมี อย่างที่ผมบอกไป SCC มันมีช่วงเวลานึงของมันที่โตได้เป็นสิบปี
แต่ถ้าเรามองว่าจะหาบริษัทที่โตขึ้น 25% ต่อปี สักสามสี่ปีในอนาคตจากนี้ไป ผมเชื่อว่ามีแน่นอนครับ และมีเยอะด้วย (พูดถึงกำไรสุทธินะ เพราะน่าจะส่งผลต่อราคาหุ้นมากที่สุด ) ผมเชื่อว่าอย่างนั้นครับ เพราะขนาดเราผ่านวิกฤต ซับพาร์ม วิกฤตการเมืองไทย มาแล้ว ยังมีหลายๆ บริษัท สามารถทำกำไรได้เป็นสองเท่า จากเมื่อ สามปีที่แล้วได้เลย (หมายถึง 25% ทบต้น ) Hmpro Cpall เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สามารถทำได้ในอดีตที่ผ่านมา
บริษัทในตลาดหุ้นบ้านเรามี หลายร้อยตัว เชื่อว่าเราหาได้แน่นอนครับ
ในการประเมิณมูลค่า ในอนาคต สิ่งที่สำคัญคือข้อมูลครับ คงไม่มีใครซื้อหุ้นไปแล้ว พอมาถึงช่วงประกาศงบแล้วต้องมานั่งลุ้น หรือ นั่งจุดธูปภาวนาให้ผลงานออกมาดีอย่างที่หวัง เพราะเราอย่างน้อยน่าจะประเมิณได้ คร่าวๆ มันน่าจะเป็นอย่างไรจากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น อย่างที่เค้าว่า การดูงบคือการตรวจการบ้านของเรา ครับ
แหล่งข้อมูลที่จะมาวิเคราะห์ก็สามารถหาได้หลากหลาย เช่น ห้องร้อยคนร้อยหุ้น ( หากปราศจากห้องนี้ ความมั่นใจผมจะลดลงไปเยอะ ) ข่าวการสัมภาษณ์ แนวโน้มธุรกิจของผู้บริหาร การประชุมประจำปีผู้ถือหุ้นที่บางครั้งจะพูดถึงแนวทางบริษัทด้วย และที่ผมชอบมากที่สุดคือ Opp Day ครับ ผมมักจะได้หุ้นที่จะลงทุนจากการฟัง Opp Day ของบริษัทต่างๆ นี้แหละ โหลดมาฟังจากในเวป set.or.th ถ้าทำได้ในช่วงเริ่มต้นเอาให้ครบทุกบริษัทเลย แล้วค่อยมาเลือกฟังเฉพาะที่เราสนใจในครั้งต่อๆ ไป บางครั้งเรา ไม่เคยสนใจบริษัทนี้มาก่อนเลย พอฟังแล้ว โอ้โห อะไรจะขนาดนั้น ( แต่ต้องระวัง เช็คผบห ด้วยว่าสามารถทำได้อย่างที่โม้หรือป่าว ) เสร็จแล้วเราก็มาขุดไปเรื่อยๆ ว่ามันน่าสนใจหรือป่าว
อันนี้จะเป็นวิธีการที่ทำให้เราเจอ หุ้นเติบโต สองเท่าใน 3 ปีได้ ( พูดถึงผลกำไรนะคร้าบ ไม่ได้หมายถึงราคาหุ้น )
------------------------------------------------------------------------------------------------
ลักษณะหุ้นเติบโตที่ผมคิดว่าควรจะมีนะครับ
1. กิจการที่มี business model ที่ดี เช่น ลงทุนไม่สูงในการเพิ่มยอดขาย สินค้าตอบสนองเทรนการใช้ชีิวิต มีจุดแข็งที่ลอกเลียนยาก
2. เป็นเจ้าตลาดในสินค้านั้น
3. อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต ไม่ใช่อุตสาหกรรมที่กำลังอิ่มตัว หรือกำลังร่วง
4. ความแน่นอนของกระแสเงินสด คือ ไม่คาดการณ์ยากมาก อย่างเช่นกลุ่มรับเหมา กลุ่มวัฎจักร
5. ตัวกิจการมี growth story ที่ชัดเจนในระยะ 4-5 ปีข้างหน้า และต้องย้อนกลับไปดูด้วยว่า business model จะสามารถตอบสนองแผนการเติบโตหรือเปล่า
ขอบคุณครับบ ผมว่าข้อ 1 นี้สำคัญเอามากๆ ครับ คือ สินค้าหรือบริการของบริษัทจะต้องถูกใจลูกค้าเหนือกว่าคู่แข่งด้วยครับ เอาว่าลูกค้ามาเจอแล้วติดใจไม่ไปไหน มันจะได้มาร์เก็ตแชร์จากคู่แข่งด้วย คือมันจะโตไปได้เรื่อยๆ ถึงแม้ว่า ตลาดโดยรวมมันอาจจะไม่โตด้วยซ้ำไป เรียกได้ว่ามี Competitive Advantage ที่เข้มแข็งครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------
มีอีกเรื่องนึงที่ผมอยากพูดถึงอ่ะครับ
หลายๆ คนอาจจะหลีกเลี่ยงหุ้น Growth เพราะเกรงว่า PE สูงแล้ว บางตัวสูงมากๆด้วย แต่มันไม่เสมอไปที่หุ้น Growth เหล่านี้จะมี PE สูง ผมเชื่อว่าคุณขยันหน่อย อาจจะเจอหุ้น Growth ที่มี PE ต่ำๆ ก็ได้ และหากอยู่มาวันนึง ตลาดให้คุณค่าของมันนอกจากจะให้ราคา เป็นไปตามผลประกอบการณ์แล้ว ยังอาจจะปรับค่า PE ให้มันสูงขึ้นด้วย ซึ่งถือว่าเราได้สองต่อเลยทีเดียว
ส่วนตัวผมชอบหุ้นโตเยอะ ตอนที่ Forward PE ยังไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ ( ประมาณไม่เกิน 10 ) โดย Forward PE มาจะคาดจากกำไรจากการดำเนินงานปกติ ในระยะ 1 ปีข้างหน้า โดยดูจากแผนการณ์เติบโตของบริษัท
แต่ต้องระวังกำไร ที่เกิดจากราคาขายสินค้าขึ้นสูงเกินจริงในช่วงเวลานั้นๆ อย่างพวก สินค้าคอมมูนิตี้ บางตัว มีเหตุการณ์พิเศษ ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ทำให้ราคาขายสูงจัด เราอาจจะทำกำไรได้มากในเวลาสั้นๆในระยะ 6 เดือนถึง 1 ปีได้ แต่เราไม่อาจหวังไปกับมันว่ามันจะได้ราคานั้นไปตลอดใน 3-5 ปีข้างหน้าได้ ใครเกิดไปเข้าตอนที่ราคาสูงแล้ว เพราะนึกว่า PE ต่ำมาก แต่สุดท้ายราคาสินค้าปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ ก็จะเจอกับยอดดอย ได้ง่ายๆ เราควรจะแยกแยะให้ออกว่า หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นเติบโต หรือ หุ้นวัฏจักร หรือ หุ้นเติบโตที่มีวัฏจักรที่เหวี่ยงเยอะ อะไรประมาณนั้น
คือถ้ายอดเติบโต หลักๆ มาจาก ปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น และได้กำไรเพิ่มขึ้นมากตามในอัตราส่วนที่พอๆกันหรือดีกว่า ก็จะเป็นการดีมาก
------------------------------------------------------------------------------------------------
เข้าไปดูห้องทะลุล้านแล้วตกใจ
แต่ละคนผลตอบแทนสูงมาก
บางคนตั้งเป้าปีละ46%
บางคนจากเงิน50000เป็นล้านใน3ปี
ยุทธจักรนี่ช่างกว้างใหญ่จิงๆ
ขนาดผมว่าท่านleaderinshadowไม่ธรรมดาแล้วนะ
เห็นยอดเซียนเค้า เริ่ม 10 กว่าล้าน 13-14 ปีก็จะเป็น 2000 ล้าน
หรือ ยอดเซียนอีกหลายคน เค้า เริ่ม หลักแสน 8-9 ปีก็เป็นหลัก ร้อย ล้าน
มันก็เกิดขี้นกันมาแล้ว ข้าน้อยนี่ ขอคารวะด้วยความชื่นชมมม
------------------------------------------------------------------------------------------------
ระดับนั้น น้อยคนจะไปถึงคับ ผมมองว่ามันเหมือนทำธุรกิจ คือ ความพยายาม99%
อีก1%คือดวง ซึ่ง เปน1%ที่ โค ต ะร ะสำคัญ
แต่ ผมชอบคำพูดใค่ไมู่ รู้ประมาณว่าเท่าที่เขาจำได้ โชคดีมักจะเกืด ตามหลังการฝึกฝนอย่างหนัก
--------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น